|
กลอนเพลงชาวบ้านเป็นกลอนที่ชาวบ้านใช้ว่าแก้กัน ระหว่างชายหญิง
เป็นทำนองประชันฝีปาก เนื้อความ เป็นการเกี้ยวพาราสีบ้าง
โต้คารมบ้าง เป็นอธิษฐานบ้าง กลอนเพลงปฏิพาทย์นี้เป็นการเล่นของคนไทย
ทั่วไป ในท้องถิ่นต่างๆ แม้จะเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการศึกษา ก็ สามารถว่ากลอนประเภทนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว
และยัง ว่าโต้ตอบกันเป็นกลอนสด ด้วย นับว่าเป็นคูณสมบัติที่ ล้ำค่าอย่างหนึ่ง
ที่บรรพบุรุษไทยได้ทิ้งไว้เป็นมรดก ตกทอดมาถึงคนไทยรุ่นหลัง กลอนเพลงปฏิพาทย์นี้
บังคับ
บาทละ ๒ วรรค จำนวนคำ ในวรรค มีตั้งแต่ ๔ - ๑๐ คำ ถ้ามีจำนวนคำในวรรคมาก ก็จะเพิ่มสัมผัสกลางวรรคข้ึนอีกแห่งหนึ่งเพื่อให้เป็น จังหวะเวลาร้อง
บังคับสัมผัส ๒ แห่ง คือสัมผัสระหว่าง วรรคและสัมผัสท้ายบาท โดยลักษณะเด่นจะอยู่ที่สัมผัส ท้ายบาท
ซึ่งจะเป็นเสียงสระเดียวกันตลอดบท มีคำเรียกสัมผัสโดยเฉพาะนี้
เช่น ถ้าส่งสัมผัสท้ายบาทด้วยเสียงสระไอก็เรียกว่า"กลอนไล" ถ้าส่งสัมผัสท้ายบาทด้วยเสียงสระอี
ก็เรียกว่า"กลอนลี" เป็นต้น ด้วยเหตุที่ส่งสัมผัสท้ายบาทเป็นเสียงเดียวทุกบาท จึงเรียกกันว่า
"กลอนหัวเดียว" บทหนึ่งแต่งได้ไม่จำำกัดจำนวนบาท
แล้วแต่เนื้อความของเรื่อง (วิเชียร
เกษประทุม ลักษณะคำประพันธ์ไทย )
|
๑. เพลงฉ่อย ๒.เพลงเรือ
๓.เพลงปรบไก่ ๔.เพลงพวงมาลัย
๕.เพลงสั่งนาค ๖.เพลงอีแซว
๗.เพลงเหย่อย ๘.เพลงเกี่ยวข้าว
๙.เพลงลำตัด (วิเชียร
เกษประทุม ลักษณะคำประพันธ์ไทย )
|